เกี่ยวกับฉัน

รูปภาพของฉัน
Bangkok., Bangkae, Thailand
Nick Name is GAL. I'm student. At Siam University.(BKK) Faculty is Communication Arts. Minor is Public Relation. Major is Advertising. I'm single.^^"

วันอังคารที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2554


Travie McCoy: Billionaire ft. Bruno Mars [OFFICIAL VIDEO]



Travie McCoy: We'll Be Alright [OFFICIAL VIDEO]



Usher - DJ Got Us Fallin' In Love ft. Pitbull



Usher - OMG ft. will.i.am



Bruno Mars - Just The Way You Are [Official Video]



Jason Mraz & Colbie Caillat - Lucky (Video)



Jay Sean - Down ft. Lil Wayne



Jay Sean - Do You Remember ft. Sean Paul, Lil Jon




Justin Bieber - Baby ft. Ludacris



Justin Bieber - One Time



Justin Bieber - Somebody To Love Remix ft. Usher

สารานุกรม

ซันนี่ สุวรรณเมธานนท์

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
ซันนี่ สุวรรณเมธานนท์



ซันนี่ สุวรรณเมธานนท์

ชื่อจริงซันนี่ สุวรรณเมธานนท์
ชื่อเล่นซันนี่
เกิด18 พฤษภาคม พ.ศ. 2524 (อายุ 29 ปี)
อาชีพนักแสดง
ค่ายจีทีเอช
ข้อมูลบนเว็บ IMDb
ซันนี่ สุวรรณเมธานนท์ เกิดเมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2524 เป็นนักแสดงลูกครึ่ง ไทย-ฝรั่งเศส เกิดและโตในประเทศไทย เป็นบุตรของคุณพ่อเพ็ชร์รัตน์ ลูกครึ่งไทย-สิงคโปร์ อดีตกัปตันสายการบินเอกชนแห่งหนึ่ง กับคุณแม่มาจอลิน สาวฝรั่งเศสลูกทูตทหาร มีพี่สาวชื่อภาวินี และพี่ชายชื่อไมเคิล เรียนชั้นประถม-มัธยมปีที่ 3 ที่โรงเรียนพระมหาไถ่ศึกษา[1] จบชั้นมัธยมศึกษาจากโรงเรียนสุรศักดิ์มนตรี หลังจากนั้นเข้าศึกษาต่อระดับอุดมศึกษาที่คณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ[2]
เข้าสู่วงการบันเทิงจากการถ่ายโฆษณา ผลงานเช่น โฆษณา เคทีซี-แคช เอไอเอส ทีซีบี ทูน่าสเปรด เบียร์สิงห์ ฮานามิ ฯลฯ นอกจากนี้ยังเล่นมิวสิกวิดีโอ เพลง คนไม่เอาถ่าน และ คนหลงทาง ของวงบิ๊กแอส และในปี 2548 กับผลงานภาพยนตร์เรื่องแรก เรื่อง "เพื่อนสนิท" ที่ถือว่าเป็นการแจ้งเกิดของซันนี่ และจากบทบาทนี้ทำให้ซันนี่ได้รับรางวัลนักแสดงนำชายยอดเยี่ยม จาก คม ชัด ลึก อวอร์ด ประจำปี 2548[3] และกลับมาร่วมงานกับผู้กำกับฯ คนเดิมอีกครั้งในปี 2550 กับภาพยนตร์เรื่อง "สายลับจับบ้านเล็ก" ซึ่งซันนี่ได้ร้องเพลง "คนของเธอ" ประกอบภาพยนตร์สายลับจับบ้านเล็ก แต่เดิมซันนี่เคยเป็นสมาชิกวงคิงคองโปรเจ็กต์ ตระเวนเล่นดนตรีตามร้านเป็นอาชีพเสริมที่ ร้านแจ่มบาร์ กับร้าน PLAY[4] เล่นมา 3 ปีครึ่ง ก็ได้ลาออกจากวง


อนันดา เอเวอร์ริ่งแฮม

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
อนันดา เอเวอร์ริ่งแฮม




อนันดา เอเวอริ่งแฮม



ชื่อจริงอนันดา แมททิว เอเวอร์ริ่งแฮม
ชื่อเล่นบักจ่อย
เกิด31 พฤษภาคม พ.ศ. 2525 (อายุ 28 ปี)
อาชีพนักแสดง
ปีที่แสดง2540-ปัจจุบัน
รางวัลภาพยนตร์แห่งชาติ สุพรรณหงส์
นักแสดงนำชายยอดเยี่ยม
2551 แฮปปี้เบิร์ธเดย์
รางวัลชมรมวิจารณ์บันเทิง
นักแสดงนำชายยอดเยี่ยม
2551 แฮปปี้เบิร์ธเดย์
ข้อมูลบนเว็บ IMDb
ฐานข้อมูลภาพยนตร์ไทย (ThaiFilmDb)
อนันดา เอเวอร์ริ่งแฮม (อังกฤษ: Ananda Everingham) เกิดเมื่อ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2525 พระเอกลูกครึ่ง ออสเตรเลีย-ลาว เข้าวงการเมื่ออายุ 14 ปี โดยคำชักชวนของ มิ่งขวัญ แสงสุวรรณ กับภาพยนตร์เรื่องแรก อันดากับฟ้าใส ร่วมแสดงกับนักแสดงชั้นนำ อย่างพงษ์พัฒน์, นก สินจัย หลังจากนั้นได้หายหน้าจากวงการไปพักใหญ่ และได้กลับมาอีกครั้งกับละคร เรื่องทะเลฤๅอิ่ม ของหม่อมน้อย หลังจากนั้นก็มีผลงานการแสดงเรื่อยมา จนในปี พ.ศ. 2547 อนันดาได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลผลงานบันเทิงยอดเยี่ยมประจำปี 2547 หรือ สตาร์เอนเตอร์เทนเมนต์อวอร์ดส 2004 จากเรื่องชัตเตอร์ กดติดวิญญาณ [1] และจากภาพยนตร์เรื่อง Me Myself อนันดาได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลถึง 6 สถาบัน ในช่วงระหว่างปี 2550 - 2551 อนันดามีผลงานการแสดงภาพยนตร์ถึง 10 เรื่อง และในปี พ.ศ. 2552 อนันดากวาดรางวัลด้านการแสดงในสาขานักแสดงนำจาก 4 สถาบัน จากผลงานภาพยนตร์เรื่อง แฮปปี้เบิร์ธเดย์
ทางด้านธุรกิจ ได้ร่วมทำธุรกิจกับ ตั้งบริษัท เฮโล โปรดักชั่น รับทำงานอีเวนต์เกี่ยวกับงานศิลปะ อีกทั้งยังเคยมีธุรกิจร้านอาหารกึ่งผับกึ่งรีสอร์ตที่เกาะเสม็ด (ปิดไปแล้ว) อนันดายังได้ร่วมลงทุน รับหน้าที่เป็นโปรดิวเซอร์ และยังเป็นพรีเซนเตอร์ให้กับโฆษณาจักรยานยนต์ ซูซูกิ รุ่น “มาโช โชกุน 125” และเป๊ปซี่ แม็กซ์

Recipe Book. 2


อาหารที่ทำจากเนื้อปลา  มีคุณค่าทางโภชนาการและยังให้โปรตีนต่อร่างกายสูง  จึงเป็นที่นิยมบริโภคเพื่อพัฒนาส่วนต่าง ๆ ของร่างกายและสุขภาพที่ดี  การนำเนื้อปลามาประยุกต์  และแปรรูปเป็นอาหารต่าง ๆ  หลากหลายชนิด  เพื่อดึงดูดใจผู้บริโภค จึงเป็นส่วนหนึ่งในการนำเนื้อปลามาทำปั้นขลิบ  สำหรับเป็นอาหารว่างที่มีคุณค่าทางอาหารรสชาติอร่อย ทำไว้รับประทานกันเองหรือจะทำขายเพื่อสร้างรายได้ให้กับครอบครัว  ก็จะเป็นการดี ลงทุนก็ไม่มาก  วิธีการทำก็ไม่ยุ่งยากและขายได้ราคา

วิธีการทำปั้นขลิบไส้ปลา
ส่วนผสมแป้ง
     แป้งสาลีสำเร็จรูป    2  ถ้วยตวง
     แป้งข้าวจ้าว   1  ถ้วยตวง
     น้ำตาลทราย   1  ช้อนโต๊ะ
     น้ำมัน   6  ช้อนโต๊ะ
     เกลือ   1/3  ช้อนโต๊ะ
     น้ำปูนใส   2 1/2  ช้อนโต๊ะ
     ไข่ไก่(ไข่แดง)   2  ฟอง

เครื่องปรุงไส้ปั้นขลิบไส้ปลา
     ถั่วลิสง    1  ถ้วยตวง
     หอมใหญ่    5  หัว
     ปลาบด    1  ช้อนโต๊ะ
     น้ำตาลปีบ    5  ช้อนโต๊ะ
     หัวผักกาดหวานสับ    1  ช้อนโต๊ะ
     รากผักชี  กระเทียม  พริกไทยอย่างละ    1  ช้อนโต๊ะ
     ซีอิ๊วขาว    1/2  ช้อนชา
     ซีอิ๊วดำ    1  ช้อนชา

ขั้นตอนการทำปั้นขลิบไส้ปลา
     1. ผัดไส้ปั้นขลิบ  พอน้ำมันเริ่มร้อนใส่รากผักชีที่โขลกละเอียด  ตามด้วยเนื้อปลาบด ผัดให้สุกอย่าให้เนื้อปลาติดกันเป็นก้อน  ใส่หัวผักกาดหวานสับ น้ำตาลปีบ  ผัดจนน้ำตาลละลายเข้ากัน  เติมซีอิ๊วขาวผัดพอแห้งแล้วใส่ซีอิ๊วดำเพื่อแต่งสี ใส่ถั่วลิสงผัดให้เข้ากันจนแห้ง  ตักขึ้นใส่ถ้วยพักไว้
     2. ผสมแป้งสาลีกับแป้งข้าวจ้าว  นวดให้เข้ากันเติมน้ำปูนใส  สลับกับน้ำมันพืช นวดส่วนผสมทั้งหมดให้เข้ากันจนแป้งไม่ติดมือ
     3. โรยแป้งสาลีลงบนที่รีดแป้งเล็กน้อย  เพื่อเวลารีดแป้งจะได้ไม่ติด  จากนั้นนำแป้ง ไปวางบนที่รีดแล้วรีดแป้งให้เป็นแผ่นบาง ๆ  แล้วกดแป้งให้เป็นแผ่นกลมเล็ก ๆ
     4. ปั้นไส้ที่ผัดไว้ให้เป็นก้อนกลมเล็ก ๆ  ใส่ลงไปที่แป้ง  พับครึ่ง อย่าให้ไส้ล้นออกมาจากตัวแป้ง  กดริมให้ติดกัน  จับริมให้สวยงาม นำไปทอดให้เหลืองกรอบ


ส่วนผสม
  1. แป้งสาลี 5 ถ้วยตวง, น้ำตาลป่น 2 1/2 ถ้วยตวง, น้ำมันพืช 1 1/2 ถ้วยตวง
วิธีทำ
  1. ผสมแป้งสาลีกับน้ำตาลป่นเข้าด้วยกัน ควรคนให้กระจาย ตัวทั่วกันดีเสียก่อน จึงเทน้ำมันลงในแป้งนวดเบา ๆ ให้เข้า กันดี ถ้ายังแป้งมากไม่อาจเกาะกันได้ เติมน้ำมันได้อีกเล็ก น้อย
  2. คลึงออกเป็นแท่งกลมยาว แล้วตัดเป็นท่อน ให้ท่อนหนึ่ง ๆ หนึ่ง เมื่อปั้นเป็นก้อนกลม จะมีเส้นผ่าศูนย์กลางสักประมาณ 1 1/2 เซนติเมตร และปั้นเป็นก้อนกลมไว้ให้หมด
  3. ใช้มีดคม ๆ ผ่าแต่ละก้อนออกเป็น 4 ส่วน ปั้นแต่ละส่วนให้ คล้ายกลีบดอกลำดวน แล้วจับปลายชนกันเป็น 4 กลีบ จากนั้นปั้นเป็นก้อนกลม ๆ วางลงตรงกลาง ปั้นเรียงให้เต็มถาดที่ทาน้ำมันไว้แล้ว
  4. นำเข้าอบที่ 350 องศาฟาเรนไฮท์ ประมาณ 8-10 นาที ให้ได้สีนวล ๆ เหมือนดอกลำดวนจริง ๆ จึงนำออกจากเตา พักไว้ให้เย็นสนิทเสียก่อนจึงแซะใส่ขวดโหล
  5. อบด้วยดอกมะลิ กระดังงาหรือควันเทียน


ส่วนผสม
1. ถั่วเขียวเลาะเปลือก 1/2 กก.
2. หัวกะทิ 2 ถ้วยตวง
3. น้ำตาลทราย 1/2 กก.
4. วุ้นผง 5 ช้อนโต๊ะ
5. น้ำ 5 ถ้วยตวง

วัสดุที่ต้องใช้
1. กระทะทองเหลือง
2. ไม้พาย
3. ไม้เสียบลูกชิ้น หรือไม้จิ้มฟัน
4. สีผสมอาหาร
5. จานสี
6. พู่กัน

ลงมือเข้าครัว
1. เริ่มจากการล้างถั่วที่เลือกเอาเมล็ดเสียออกแล้วด้วยน้ำสะอาด 1 ครั้ง เทน้ำทิ้ง แช่ด้วยน้ำสะอาดอีกครั้งประมาณ 3-4 ชั่วโมง เทน้ำทิ้งแล้วล้างอีกครั้ง
2. นำถั่วที่ล้างสะอาดแล้วไปนึ่งให้สุก จากนั้นนำไปบดให้ละเอียด
3. นำน้ำตาลและกะทิมาต้มด้วยไฟอ่อนให้ส่วนผสมเข้ากันดี ในขั้นตอนนี้ควรคนตลอดเวลาเพื่อไม่ให้กะทิเป็นลูก
4. นำถั่วที่บดจนละเอียดแล้วใส่ลงในกระทะทองเหลือง ตั้งไฟปานกลาง ค่อยๆทยอยใส่น้ำกะทิที่เคี่ยวได้ที่แล้วลงไปทีละน้อย เทไปกวนไปจนหมด ที่สำคัญต้องกวนไปในทางเดียวกัน จนถั่วเริ่มแห้ง ให้หรี่ไฟลง รอจนถั่วเริ่มแห้งและร่อนออกจากกระทะ จึงนำออกมานวดจนเนียน
5. ขั้นตอนต่อไปก็ขึ้นอยู่กับฝีมือการปั้นของแต่ละคน เมื่อปั้นได้รูปแล้ว ก็นำมาเสียบกับไม้จิ้มฟัน หรือไม้เสียบลูกชิ้น ระบายสีตามชอบ
6. ระบายสีเสร็จแล้ว ก็นำไม้ไปเสียบไว้ที่โฟม รอจนสีแห้ง
7. หัมาทำน้ำวุ้นกันบ้าง เริ่มจากนำวุ้นผงและน้ำใส่หม้อคนให้เข้ากัน ยกขึ้นตั้งไฟปานกลาง หมั่นคนจนวุ้นใส ยกลงทิ้งไว้สักครู่จะมีฟองลอยขึ้นมา ให้ใช้ช้อนตักฟองทิ้ง
8. นำถั่วที่ลงสีแล้วชุบกับวุ้น 1 ครั้ง ปักบนโฟม รอให้แห้ง แล้วจึงชุบครั้งที่ 2 และ 3 เมื่อวุ้นแข็งตัวดีแล้วจึงถอดออกจากไม้จิ้ม ใช้กรรไกรตัดส่วนที่ไม่ต้องการทิ้ง แค่นี้ก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อย


* แป้งมัน 3/4 ถ้วยตวง
* น้ำกะทิ 1/2 ถ้วยตวง
   (สำหรับทำตัวครองแครง)
* หัวกะทิ 1 ถ้วยตวง
   (สำหรับทำน้ำกะทิ)
* น้ำตาลทรายขาว 1/2 ถ้วยตวง
* เกลือป่น 1 1/2 ช้อนชา
* งาขาวคั่ว 3 ช้อนชา (สำหรับโรยหน้าครองแครง)
* แม่พิมพ์สำหรับกดแป้งทำครองแครง

วิธีทำ
1. นำแป้งมันไปร่อนและผสมกับน้ำกะทิ (1/2 ถ้วยตวง) ในกระทะทองเหลือง
นำไปตั้งบนไฟอ่อนๆจนแป้งละลาย คนจนแห้งและเหนียว จึงปิดไฟ
2. นำแป้งมานวดจนเข้ากันเป็นเนื้อเดียว และนำไปปั้นเป็นลูกกลมๆ จากนั้นจึงนำไปกดบนแบบครองแครง (ถ้าไม่มีใช้ส้อมกดแทนพอได้) เสร็จแล้วนำไปคลุกแป้งมันนิดหน่อยเพื่อไม่ให้ติด และใช้ผ้าขาวบางหมาดๆ คลุมไว้ ทำครองแครงจนแป้งหมด
3. ตั้งน้ำร้อนในหม้อจนเดือด จึงนำครองแครงที่ปั้นแล้วใส่ลงไปต้มจนสุกใส จึงนำออกมาแช่น้ำเย็นไว้สักพักแล้วนำออกมาสะเด็ดน้ำ
4. ทำน้ำกะทิโดยผสมหัวกะทิ (1 ถ้วยตวง), น้ำตาลทราย และเกลือป่นลงในหม้อ และนำไปตั้งบนไฟอ่อนๆ จนละลายเข้ากันดี รอจนน้ำกะทิเดือดจึงใส่ครองแครงที่ต้มสุกแล้วลงไป ต้มต่ออีกสักพักจึงปิดไฟ
5. ตักใส่ถ้วย โรยหน้าด้วยงาขาว และเสริฟเป็นของว่างในวันสบายๆ

* ข้าวสุกตากแห้ง 250 กรัม
* น้ำตาลมะพร้าว 250 กรัม
* น้ำกะทิ 50 กรัม
* มะพร้าวขูดฝอย 300 กรัม
* เนื้อมะพร้าวอ่อน 120 กรัม
* น้ำมะพร้าวอ่อน 200 กรัม
* เทียนอบ

วิธีทำ
1. นำข้าวสุกไปตากให้แห้ง ถ้าตากแล้วไม่แห้งดี สามารถนำไปอบได้ เมื่อแห้งดีแล้ว นำไปคั่วทีละน้อย โดยใช้ไฟอ่อนๆ เสร็จแล้วนำไปโม่บดให้ละเอียด
2. ตั้งกระทะทองเหลือง (หรือใช้กระทะเทฟลอนแทนก็ได้) บนไฟอ่อนๆ ใส่กะทิ, น้ำตาลมะพร้าว, มะพร้าวขูดฝอย, น้ำมะพร้าวและเนื้อมะพร้าวลงไปเคี่ยวจนกระทั่งส่วนผสมข้นเหนียว
3. ใส่ผงข้าวคั่วลงไปในกระทะและกวนต่อจนเหนียวพอปั้นได้ ปิดไฟ ทิ้งไว้ให้หายร้อน
4. อัดส่วนผสมใส่แบบที่เตรียมไว้ จากนั้นนำไปอบควันเทียนให้หอม เสริฟรับประทานได้ทันที หรือเก็บ ใส่ภาชนะมิดชิดเก็บไว้รับประทานภายหลังได้

Recipe Book. 1


ส่วนผสม
1. บลูเบอร์รี่ 1 กระป๋อง
2. เนยสด 250 กรัม
3. แคร็คเกอร์(บด) หรือจะใช้เป็นโอรีโอ้ ก็ได้ 4 ถ้วย
4. ครีมชีส (สีขาว) 2 ก้อน
5. น้ำมะนาว 2 ช้อนโต๊ะ
6. ครีมข้นชนิดธรรมดา 2 กระป๋อง
วิธีทำ1. นำ Cracker บทดแล้วนำมาผสมกับเนยเคล้าให้เข้ากัน แบ่งเป็นสองส่วนเพราะ Blueberry 1 กระป๋องทำได้ 2 ถาด แผ่แป้งให้เต็มถาดกดให้เรียบ แล้วนำเข้าอบพอสุก นำออกมาทิ้งให้เย็น
2. Cream Cheese กับครีมข้นชนิดธรรมดา ตีให้เข้ากันช้าๆ ใส่น้ำมะนาว แล้วตีเข้ากันพอประมาณจนเข้ากันได้ดี
3. ใส่ Cream Cheese ที่ผสมดีแล้วใส่ลงในแป้งที่เย็นดีแล้ว ใช้ไม้พายเกลี่ยให้ทั่วแป้ง
4. ใส่ Blueberrry แล้วนำเข้าตู้เย็น เวลาจะรับประทานให้ตัดนำมาตัดแบ่งไป
เพียงเท่านี้เราก็ได้ พายบลูเบอร์รี่ ที่แสนอร่อยไว้รับประทานกันแล้ว ทานกับกาแฟก็อร่อยไม่เบา เพราะว่าเนื้อแป้งจะมีรสเค็ม Cream Cheese มะนาวจะมีรสเปรี้ยว ส่วน Blueberry จะมีรสหวาน ทุกอย่างช่างลงตัวจริง

เครื่องปรุง


  • เส้นสปาเกตตี                  200  กรัม               
  • ถั่วฟักยาวหั่นท่อนลวก           2  ฝัก
  • กุ้งแช่บ๊วย                            6  ตัว              
  • เกลือป่น                          1/2  ช้อนชา
  • แฮมหั่นชิ้นเล็ก                1/4  ถ้วย               
  • น้ำตาลทราย                      1  ช้อนโต๊ะ
  • หอมใหญ่หั่นชิ้นเล็ก         1/2  ถ้วย              
  •  ซอสมะเขือเทศ             1/4  ถ้วย
  • มะเขือเทศหั่นชิ้นเล็ก        2  ช้อนโต๊ะ 
  • ซอสพริก                          2  ช้อนโต๊ะ
  • น้ำมันพืช                         2  ช้อนโต๊

วิธีทำ


  • ต้มน้ำด้วยไฟกลางให้เดือด  ใส่เกลือเล็กน้อย  ใส่สปาเก็ตตีลงต้ม  หมั่นคนอย่าให้เส้นติดก้นหม้อ  ต้มประมาณ  12  นาที  หรือจนสุก  ตักขึ้นผ่านน้ำเย็น  ให้สะเด็ดน้ำ
  • ล้างกุ้ง  แกะเปลือก  เด็ดหัวไว้หาง  ผ่าหลังดึงเส้นดำออก
  • ผัดหอมใหญ่กับน้ำมันด้วยไฟกลางพอสุก  ใส่กุ้งและแฮมผัดให้สุกหอม  ใส่เส้นสปาเกตตีผัดให้เข้ากัน  ใส่มะเขือเทศตามด้วยถั่วฝักยาว  ผัดให้ทั่ว
  •  ปรุงรสด้วยซอสมะเขือ  หรือซอสพริก  น้ำตาล  และเกลือผัดให้เข้ากัน  แล้วตักใส่จาน

ส่วนผสม :
  • แฮม 1 แผ่นหั่นสี่เหลียมเล็กๆ อันนี้ใครลั่มซัมหน่อยก็ใส่เยอะได้นะคะ
  • ไส้กรอก 3 ชิ้น แบ่ง 1 ชิ้นหั่นสี่เหลียมลูกเต๋า อีกสองชิ้นเอาไว้ทอด
  • หอมหัวใหญ่หั่นลูกเต๋า 1 ช้ิอนโต๊ะ
  • แครอทหั่นลูกเต๋า 1 ช้อนโต๊ะ
  • ถั่วลันเตา 1 ช้อนโต๊ะ (ชื้อแบบกระป๋องมาก็ได้ค่ะ กระป๋องละ 19 บาท ใช้ได้หลายครั้งเลย เหลือก็เอาแช่ตู้เย็น หรือทานเปล่าๆ ก็ได้อร่อยดี)
  • ลูกเกด ครึ่งช้อนโต๊ะ (หาซื้อง่ายคะเซเว่นก็มี ถุงละประมาณสิบบาท)
  • สับปะรดหั่นลูกเต๋า 1 ช้อนโต๊ะ (อันนี้ซื้อกับลุงรถเข็นผลไม้ถุงละสิบบาท )
  • มะเขือเทศหั่นลูกเต๋า 1 ช้อนโต๊ะ
วิธีทำ :
  • ผัดหอมใหญ่กับเนยจนหอมใหญ่นิ่ม(ที่จริงก็ใช้น้ำมันแทนได้นะไม่เลี่ยนด้วย)
  • ใส่ส่วนผสมที่เหลือลงไปผัดพร้อมกันประมาณ 1 นาที
  • ปรุงรสด้วยซอสมะเขือเทศ 1 ช้อนโต๊ะ ซอสพริก 1 ช้อนชา (อันนี้ไม่ใส่ก็ได้ ) ตามด้วยซีอิ้วขาว 1 ช้อนโต๊ะ ชอบเค็มมากเค็มน้อยเพิ่มได้ตามชอบ ผัดส่วนผสมให้เข้ากันดี
  • ใส่ข้าวสวยลงไป 2 ทับพีผัดจนเข้ากันดี กะทะนี้ทานได้ 2 คนนะคะ
  • เสร็จแล้วก็ตักใส่จานตกแต่งตามชอบเลยคะ



แซนวิชไส้ต่าง ๆ
       แซนวิช (sandwich) เหมาะกับการรับประทานเป็นอาหารเช้าของครอบครัว และคนที่ไม่มีเวลาในการประกอบอาหาร เพราะต้องเร่งรีบต่อการเดินทางไปทำงาน การทำแซนวิชใช้ขนมปังหั่นบางๆ ตัดริมขอบที่เป็นสีน้ำตาล เนื่องจากการอบออกให้หมด ทาเนยสอดไส้แล้วจึงประกบกันเป็นคู่ๆ จะใช้เป็นแผ่นหรือจะนำมาหั่นก็ได้

  การหั่นขนมปังต้องใช้มีดบางคมๆ มิฉะนั้นขอบขนมปังจะไม่เรียบ การหั่นแซนวิชนิยมหั่นเป็นรูปร่างต่างๆ เช่นสีเหลี่ยม สามเหลี่ยมเป็นต้นแล้วนำมาประกบกันเป็นคู่
  เนยที่ใช้ทาแซนวิช ควรใช้เนยที่อ่อนตัวแล้ว ถ้าเพิ่งนำออกจากตู้เย็นจะแข็งตัว ควรคนให้เป็นครีมเสียก่อน เนยจะฟูนุ่มทาง่ายขึ้น ควรทาเนยเทียมข้างเดียว แล้วใส่ไส้ การทำแซนวิชจำนวนมากต้องใช้เวลาทำนาน ควรห่อด้วยกระดาษแก้ว หรือห่อพลาสติก หรือใช้ภาชนะคลุมไว้เพื่อไม่ให้ถูกลม จนกระทั่งถึงเวลาที่จะเสริฟ

การทำแซนวิชไส้ต่างๆ
1.  แซนวิชไก่อบ
ส่วนผสม   ไก่อบหั่นเป็นชิ้นบาง ๆ หรือ ฉีก   1/2   กิโลกรัม
   น้ำสลัดมายองเนสใช้ทาขนมปัง   1   ถ้วย
   เนยใช้ป้ายขนมปังคนให้ฟู   1   ถ้วย
   ขนมปังหั่นแล้วตัดขอบออก   2   แถว
ผักดอง   กะหล่ำปีหั่นฝอย     4     ถ้วย
   แครอทหั่นฝอย     1     ถ้วย
   น้ำส้มสายชู   1   ถ้วย
   น้ำตาลทราย   1 1/2   ถ้วย
   เกลือป่น   1 1/2   ถ้วย
วิธีทำ1. นำขนมปังมาทาเนยด้านเดียวให้หมดทุกแผ่น แล้วทามายองเนสทับอีกครั้ง
2. วางไก่บนแผ่นขนมปัง และผักดอง แล้วประกบกัน
3. ห่อด้วยกระดาษห่อแซนวิชให้เรียบร้อย
วิธีทำผักดอง     น้ำส้มสายชู น้ำตาลทราย เกลือ ผสมกันแล้วยกขึ้นตั้งไฟให้เดือด พักไว้ให้เย็น แล้วจึงใส่ผักดองประมาณ 2 ชั่วโมง
2.  แซนวิชหมูหยอง
ส่วนผสมขนมปังแซนวิช หมูหยอง น้ำพริกเปา
วิธีทำ   นำขนมปังมาตัดขอบสีน้ำตาลออกทั้ง 4 ด้านทุกแผ่น
   ทาน้ำพริกเผาบนแผ่นขนมปัง ทุกแผ่นบางๆ โรยหมูหยองให้ทั่วแผ่นขนมปัง นำไปประกบกับขนมปังอีกแผ่นเข้าด้วยกัน
   ตัดคู่ของแซนวิชเป็นรูปร่างๆต่างๆ ห่อด้วยกระดาษห่อแซนวิช หรือใส่ถุงพลาสติก
3.  แซนวิชไส้กรอก
ส่วนผสมขนมปังแซนวิช ไส้กรอกยาว แตงกวา มายองเนส
วิธีทำ     นำขนมปังมาตัดขอบทั้ง 4 ด้าน ไส้กรอกใช้มีดบั้งให้เป็นรอยตลอดอัน นำไปทอดพอสุก แล้วผ่าครึ่งตามยาวของไส้กรอก ทามายองเนสบนแผ่นขนมปังแซนวิชให้ทั่วทุกแผ่นใส่ไส้กรอก แตงกวาปอกเปลือกหั่นเอาแต่เนื้อ ไม่ใช้เม็ด หั่นตามยาว นำมาวางบนไส้กรอกนำมาประกบด้วยขนมปังอีกแผ่น ห่อกระดาษแซนวิช
มายองเนส   ไข่แดง   1   ฟอง
   น้ำมันพืช   1 / 2   ถ้วย
   น้ำตาลทราย   1 / 4   ถ้วย
   เกลือ   1   ช้อนชา
   น้ำส้มหรือน้ำมะนาว   1 / 4   ถ้วย
   พริกไทย   1 / 2   ช้อนชา
วิธีทำ
     คนไข่แดงให้ขึ้น ค่อยๆ ใส่น้ำมันสลับกับน้ำส้มจนหมด ตีจนขึ้น ใส่น้ำตาล เกลือ พริกไทยคนให้เข้ากัน
4.   แซนวิชไส้แฮม
   ขนมปังแซนวิช แฮมนึ่งสุกชึ้นเท่าขนมปัง เนยแข็งชึ้นเท่าขนมปัง แตงกวาดอง กะหล่ำปลีฝอยดอง
วิธีทำ     นำขนมปังมาตัดขอบออกทั้ง 4 ด้าน วางเนย 1 ชิ้นบนขนมปัง 1 แผ่น โรงผักดองบนเนย วางแผ่นแฮมทับลงบนผักดอง ปิดทับด้วยขนมปังอีกแผ่นหนึ่ง ห่อด้วยกระดาษห่อแซนวิช
5.   แซนวิชสลัด
     ขนมปังแซนวิช เนื้อไก่นึ่ง เนื้อกุ้งนึ่ง มายองเนส พริกไทย มะนาว เกลือ แตงกวาหั่น เนยสด
วิธีทำ     นำขนมปังมาตัดขอบสีน้ำตาลออกทั้ง 4 ด้าน เนื้อไก่นึ่งให้ฉีกออกเป็นฝอย เนื้อกุ้งนึ่งให้นำมาหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ ผสมรวมกับมายองเนส พริกไทย มะนาว เกลือ แตงกวา ผสมให้เข้ากัน นำมาทาบนแผ่นขนมปังให้ทั่วแผ่น ขนมปังอีกแผ่นทาเนยสดให้ทั่ว นำมาประกบกับแผ่นที่ทาสลัดไว้ ห่อด้วยกระดาษห่อแซนวิช
6.   แซนวิชไส้ไก่
ขนมปังแซนวิช หน้าอกไก่นึ่ง มายองเนส ผักกาดหอม เนยสด
วิธีทำ     นำขนมปังมาตัดขอบออกทั้ง 4 ด้าน นำแผ่นขนมปังมาทาเนยสดให้ทั่วทุกแผ่น แล้วนำมายองเนสทาทับลงไปบนเนยให้ทั่วแผ่น เนื้อไก่นึ่งให้นำมาฉีกเป็นชิ้นเล็กๆ นำมาวางบนแผ่นขนมปังที่ทามายองเนสแล้ว วางผักกาดหอมทับ แล้วนำมาประกบกันเป็นคู่
7.   แซนวิชยำปลากระป๋อง
ขนมปังแซนวิช ปลากระป๋อง หัวหอมซอย น้ำมะนาวหรือน้ำส้มสายชู พริกขึ้นหนูซอย
วิธีทำ     นำขนมปังมาตัดขอบทั้ง 4 ด้าน นำปลากระป๋อง มะนาว พริกขี้หนูหัวหอมซอยคลุกเคล้าให้เข้ากัน นำแผ่นขนมปังใส่ไส้ทาให้ทั่วแล้วประกบขนมปังอีกแผ่นลงไป ห่อด้วยกระดาษห่อแซนวิช หรือใส่ถุงพลาสติกกันลม ทำให้แซนวิชนุ่มขึ้น
8.   แซนวิชตับบด
ขนมปังแซนวิช มายองเนส ผักดองหั่นละเอียด ตับบด เนยสด
วิธีทำ     นำขนมปังมาตัดขอบทั้ง 4 ด้าน ทาเนยสดที่ขนมปัง 1 แผ่น ทามายองเนส 1 แผ่น วางผักดองที่หั่นไว้ให้ทั่วแผ่นขนมปัง ทาตับบดบนขนมปังอีกแผ่นหนึ่ง แล้วนำมาประกบกันเป็นคู่กับแผ่นที่วางผักดองไว้


เครื่องปรุง
1. ไข่ไก่ 2 ฟอง / 1 เสริฟ
2. เนย สำหรับทอดไข่
3. กุนเชียงหั่นแฉลบ 5-6 ชิ้น
4. หมูสับ 2 ช้อนโต๊ะ และกระเทียมสับ 2 กลีบ รวนให้สุก ปรุงรสด้วยพริกไทยและซอสปรุงรสตามชอบ
5. ชีสหั่นเป็นก้อนเล็กๆ
6. ต้นหอมซอย
7. พริกไทยป่นสำหรับโรยหน้า
วิธีทำ
1. ตั้งกระทะ ใส่น้ำมันเล็กน้อย ผัดหมูสับกับกระเทียมให้สุก ปรุงรสด้วยพริกไทย และซอสตามชอบ ได้ที่แล้วตักพักไว้
2. นำกระทะขนาดเล็กตั้งไฟกลาง ละลายเนย 1/2 ช้อนโต๊ะ เมื่อเนยละลาย ตอกไข่ใส่กระทะ และนำชีสก้อนเล็กๆ ใส่ให้ทั่ว กดให้จมเนื้อไข่เล็กน้อย
3. เรียงกุนเชียงให้ทั่ว โรยด้วยหมูสับ แล้วปิดฝาเพื่อให้ไข่สุกทั่วถึงค่ะ ถ้าชอบไข่ดึ๋งๆก็ไม่ต้องปิด
4. พอไข่สุกตามต้องการก็โรยหน้าด้วยต้นหอม และพริกไทย เท่านี้ก็พร้อมเสริฟ

Australia.

ประเทศออสเตรีย หรือ สาธารณรัฐออสเตรีย (Republic of Austria) (ภาษาเยอรมัน: Österreich, ภาษาโครเอเชีย: Austrija, ภาษาฮังการี: Ausztria, ภาษาสโลวีเนีย: Avstrija) เป็นประเทศที่ไม่มีทางออกสู่ทะเลในยุโรปกลาง มีอาณาเขตทางเหนือจรดประเทศเยอรมนีและสาธารณรัฐเช็ก ทางตะวันออกจรดสโลวาเกียและฮังการี ทางใต้จรดสโลวีเนียและอิตาลี และทางตะวันตกจรดสวิตเซอร์แลนด์และลิกเตนสไตน์ มีการปกครองแบบประชาธิปไตยแบบมีผู้แทนภายใต้หลักการของรัฐสภา


 การแบ่งเขตการปกครอง

ออสเตรียเป็นประเทศสหพันธรัฐที่ประกอบด้วย 9 รัฐ (states - Bundesländer) รัฐเหล่านี้แบ่งเขตการปกครองย่อยออกเป็น เขต (districts - Bezirke) และ นคร (cities - Statutarstädte) ซึ่งในเขตแต่ละแห่งยังแบ่งออกเป็นเทศบาล (municipalities- Gemeinden)
รัฐทั้ง 9 แห่งของออสเตรีย ได้แก่

 ภูมิศาสตร์
ประเทศออสเตรียในปัจจุบัน ตามแผนที่ประเทศออสเตรียมีความกว้างจากทิศตะวันออกจรดทิศตะวันตกมากกว่า 575 กิโลเมตร มีความยาวจากทิศเหนือจรดทิศใต้มากกว่า 294 กิโลเมตร
ประมาณ 60% ของสภาพภูมิประเทศของประเทศออสเตรียมีลักษณะเป็นภูเขาและเนินเขา ซึ่งได้รับการขานนามให้เป็น "ดินแดนแห่งขุนเขา" ประเทศออสเตรียมีการพาดผ่านของเส้นทาง "แม่น้ำดานูบ (Donau)" โดยผ่านรัฐโลว์เออร์ออสเตรีย หรือ นีเดอเริสเทอร์ไรค์ (Lower Austria; Niederösterreich) และ รัฐอัปเปอร์ออสเตรีย หรือ โอเบอเริสเทอร์ไรค์ (Upper Austria; Oberösterreich) เพื่อไหลต่อไปยังสาธารณรัฐเช็ก (Czech Republic) ภูมิประเทศของประเทศออสเตรียแบ่งออกเป็น 3 ลักษณะคือ
ภูเขา (berge) 
ภูเขาสูงในประเทศออสเตรียมีความสูงจากระดับน้ำทะเลกว่า 3,000 เมตร ยอดเขาที่สูงที่สุดในประเทศออสเตรียตั้งอยู่ทางเทือกเขาด้านตะวันออก (Ostalpen) ด้วยความสูง 3,798 เมตร มีชื่อว่า โกรสซ์กล็อกเนอร์ (Großglockner) ยอดเขาที่สูงรองลงมาคือ ไวล์ดชะปิทซ์ (Wildspitze) ด้วยความสูง 3,774 เมตร และยอดเขาที่สูงเป็นอันดับที่สามของประเทศออสเตรยคือ ไวสซ์กูเกิล (Weißkugel) ด้วยความสูง 3,738 เมตร ด้วยลักษณะของภูเขาเป็นจุดสำคัญในการดึงดูดนักท่องเที่ยวที่ชื่นชอบกีฬาฤดูหนาว (Wintersport) ยกตัวอย่างเช่น สกี สโนว์บอร์ด เป็นต้น ส่วนในฤดูร้อน ก็ยังสามารถที่จะท่องเที่ยวชื่นชมสภาพป่า และการปีนเขา อีกด้วย
ทะเลสาบ (Seen)
ทะเลสาบที่ใหญ่ที่สุดของประเทศออสเตรียมีชื่อว่า นอยซิดเลอร์ ซี (Neusiedler See) โดยมีพื้นที่ประมาณ 77% หรือประมาณ 315 ตารางกิโลเมตร อยู่ที่รัฐบูร์เกนลันด์ (Burgenland) ส่วนพื้นที่อีกประมาณ 33% ตั้งอยู่ในเขตพื้นที่ของประเทศฮังการี และยังมีทะเลสาบอื่นๆ ที่มีความสำคัญคือ อาทเทอร์ซี (Attersee) ด้วยพื้นที่ประมาณ 46 ตารางกิโลเมตร และ ทรอนซี (Traunsee) อยู่ในพื้นที่รัฐ โอเบอเริสเทอร์ไรค์ (Upper Austria; Oberösterreich) และทะเลสาบอื่นๆ อีกมากมายที่มีความสำคัญมากสำหรับดึงดูดนักท่องเที่ยวในช่วงฤดูร้อน เช่น โบเดนซี (Bodensee) , ซาล์ซคามเมอร์กูทส์ (Salzkammerguts) , โวทเฮอร์ซี (Wörthersee) , มิลล์ชะเททเทอร์ ซี (Millstätter See) , ออสเซียเชอร์ ซี (Ossiacher See) , ไวส์เซ่นซี (Weißensee) , โมนด์ซี (Mondsee) , โวล์ฟกังซี (Wolfgangsee) เป็นต้น
แม่น้ำ (Flüsse) 

 เศรษฐกิจ

เป็นแบบเสรีนิยมผสมสังคมนิยม โดยรัฐมีบทบาทในอุตสาหกรรม และวิสาหกิจหลัก เช่น อุตสาหกรรมขั้นปฐม การผลิตกระแสไฟฟ้า ธนาคาร และกิจการสาธารณูปโภค สาเหตุที่รัฐได้เข้ามาจัดการบริหารแบบรวมศูนย์ ก็เพื่อป้องกันการครอบครองจากโซเวียตภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 จนกระทั่งในช่วงต้นทศวรรษที่ 90 ออสเตรียจึงเริ่มแปรรูปรัฐวิสาหกิจ และได้พัฒนาเศรษฐกิจแบบตลาดได้สำเร็จ ซึ่งทำให้ประชาชนมีมาตรฐานความเป็นอยู่สูง รัฐบาลชุดที่ผ่านมา ซึ่งเป็นพรรคขวา ได้มีแผนที่จะแปรรูปรัฐวิสาหกิจการของรัฐเพิ่มเติม อันจะทำให้รัฐบาลออสเตรียมีส่วนร่วมทางเศรษฐกิจลดลง และในช่วงเวลาที่ผ่านมา ความสัมพันธ์ระหว่างนายจ้างและลูกจ้างแบบ Social Partnership ในช่วงทศวรรษที่ 60 และ 70 ได้ลดน้อยลงตามเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองที่เปลี่ยนไป รัฐบาลชุดปัจจุบันซึ่งนำโดยพรรคฝ่ายซ้ายสังคมนิยมจึงมีนโยบายชะลอการแปรรูปรัฐวิสาหกิจลง และเป็นที่คาดว่า จะมีนโนบายที่ทำให้ความสัมพันธ์ของนายจ้างและลูกจ้างในภาคอุตสาหกรรมเป็นไปแบบ Social Partnership ต่อไป

 แนวโน้มการหวนคืนครองบัลลังก์

การชุมนุมเรียกร้องการสถาปนาพระราชวงศ์ ณ ใจกลางกรุงเวียนนา การชุมนุมเรียกร้องในหัวข้อ 89 Jahre Republik Sind Genug!: 89ปี...มากพอแล้วสำหรับสาธารณรัฐเมื่อวันที่12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550 มีการชุมนุมเรียกร้องการฟื้นฟูสถาปนา พระราชวงศ์อิมพีเรียลออสเตรีย-ฮังการีขึ้น ณ กรุงบูดาเปสต์ ประเทศฮังการี เมื่อเวลา 9 นาฬิกา ต่อมาเวลา 18 นาฬิกา ก็มีการชุมนุมเรียกร้องให้มีการฟื้นฟูสถาปนาพระราชวงศ์อิมพีเรียลให้กลับมาครองบัลลังก์ และยังเรียกร้องให้มีการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองในออสเตรีย และฮังการีอีกด้วย การชุมนุมนี้มีขึ้น ณ ใจกลางกรุงเวียนนา โดยมีหัวข้อชุมนุมเรียกร้องเป็นภาษาเยอรมันว่า 89 Jahre Republik Sind Genug! แปลเป็นภาษาอังกฤษได้ว่า 89 Years are enough for the Republic: 89 ปี...มากพอแล้วสำหรับการเป็นสาธารณรัฐ การชุมนุมของทั้ง 2 ประเทศนี้ ทำให้มีการประชุมอย่างเร่งด่วนในรัฐสภาทั้งในออสเตรียและฮังการี รวมทั้งประธานาธิบดีของทั้ง 2 ประเทศต่างหารือกันอีกด้วย ทั้งนี้ อาจมีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองของทั้ง 2 ประเทศ และอาจมีแนวโน้มว่า พระราชวงศ์อิมพีเรียลอาจกับมาเรืองอำนาจอีกครั้ง และพระองค์เองอาจมีโอกาสได้กลับมาครองราชย์ก็เป็นได้

 การอภิเษกสมรส

ออตโต ฟอน ฮับส์บูร์ก และพระชายาออตโต ฟอน ฮับส์บูร์กทรงอภิเษกสมรสกับ เจ้าหญิงเรจิน่าแห่งแซ๊กซ์-ไมนินเจนและไฮด์บูรก์เฮาเซน ทั้งสองพระองค์ทรงมีพระโอรสและพระธิดารวม 7 พระองค์ และยังทรงมีพระราชนัดดารวมทั้งหมด 23 พระองค์
อาร์คดัชเชสแอนเดรียแห่งออสเตรีย ทรงประสูติเมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2496 ทรงอภิเษกสมรสกับท่านเค้านท์คาร์ล ยูเจน แห่งไนปเปร์ก ทรงมีพระโอรส 3 พระองค์ พระธิดา 2 พระองค์ อาร์คดัชเชสโมนิก้าแห่งออสเตรีย ทรงประสูติเมื่อวันที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2497 ทรงอภิเษกสมรสกับ หลุยส์ เดอ คาซาโนวา คานดานาส์ ยี บารอน, ดยุคแห่งซานตาแองเจโล, มาเควสแห่งเอลเค้, เค้านท์แห่งโลโดซ่า, และแกรนด์ดีแห่งสเปน ซึ่งทรงเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของเจ้าหญิงหลุยส์ซ่า เทเรซาแห่งสเปน ทรงมีพระโอรส 4 พระองค์ อาร์คดัชเชสไมเคิลล่าแห่งออสเตรีย ทรงประสูติเมื่อวันที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2497 ทรงเป็นพระขนิษฐาฝาแฝดกับอาร์คดัชเชสโมนิก้า ทรงอภิเษกสมรสครั้งแรกกับ เอริค เตรัน เดอ แอนติน ทรงมีพระโอรส 2 พระองค์ และพระธิดา 1 พระองค์ ภายหลังทรงหย่าและสมรสใหม่กับเค้านท์ฮัมเบอร์สแห่งคาเกเน็ค อาร์คดัชเชสกาเบรียลล่าแห่งออสเตรีย ทรงประสูติเมื่อวันที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2499 ทรงอภิเษกสมรสกับคริสเตียน เมสเตอร์ ภายหลังทรงหย่าเมื่อพ.ศ. 2540 มีพระโอรส 1 พระองค์ และพระธิดา 2 พระองค์ อาร์คดัชเชสวาร์ลบูก้าแห่งออสเตรีย ทรงประสูติเมื่อวันที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2500 ทรงอภิเษกสมรสกับท่านเค้าท์อาร์คิบาล์ด ดักลาส ทรงมีพระโอรส 1 พระองค์ อาร์คดยุคคาร์ล มกุฏราชกุมารแห่งออสเตรีย-ฮังการี ทรงประสูติเมื่อวันที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2504 ทรงอภิเษกสมรสกับ บารอนเนส ฟรานเซสก้าแห่งทิสเซน บอร์เนอมิสซา ทรงมีพระธิดา 2 พระองค์ และพระโอรส 1 พระองค์ ดังนี้ อาร์คดัชเชสเอลีนอร์แห่งออสเตรีย ทรงประสูติเมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2537 อาร์คดยุคเฟอร์ดินานด์แห่งออสเตรีย ทรงประสูติเมื่อวันที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2538 อาร์คดัชเชสกลอเรียแห่งออสเตรีย ทรงประสูติเมื่อวันที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2542 สมเด็จพระจักรพรรดิแห่งออสเตรีย

 ตำแหน่งในนาม

พระราชวงศ์อิมพีเรียลแห่งออสเตรีย
สมเด็จพระจักรพรรดิ สมเด็จพระจักรพรรดินี อาร์คดัชเชสแอนเดรีย อาร์คดัชเชสโมนิก้า อาร์คดัชเชสไมเคิลล่า อาร์คดัชเชสกาเบรียลล่า อาร์คดัชเชสวาร์ลบูก้า อาร์คดยุคคาร์ล มกุฎราชกุมาร อาร์คดัชเชสฟรานเซสก้า มกุฏราชกุมารี อาร์คดัชเชสเอลีนอร์ อาร์คดยุคเฟอร์ดินานด์ อาร์คดัชเชสกลอเรีย อาร์คดยุคจอร์ช อาร์คดัชเชสอีไลก้า อาร์คดัชเชสโซฟี อาร์คดัชเชสฮิลด้า อาร์คดยุคคาร์ล คอนสแตนติน จัดการ: แม่แบบ • พูดคุย • แก้ไข อาร์คดยุคจอร์ชแห่งออสเตรีย ทรงประสูติเมื่อวันที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2507 ทรงอภิเษกสมรสกับ ดัชเชสอีไลก้า เฮเลน จูทต้า เซเลเมนตีน แห่งโอลเดนเบอร์ก มีพระธิดา 2 พระองค์ และ พระโอรส 1 พระองค์ ดังนี้ อาร์คดัชเชสโซฟีแห่งออสเตรีย ทรงประสูติเมื่อวันที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2544 อาร์คดัชเชสฮิลด้าแห่งออสเตรีย ทรงประสูติเมื่อวันที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2545 อาร์คดยุคคาร์ล คอนสแตนตินแห่งออสเตรีย ทรงประสูติเมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2547

 ประชากร

จากการสำรวจในปี 2549 ประเทศออสเตรียมีประชากรโดยประมาณ 8,260,000 คน อายุขัยเฉลี่ยของประชากรหญิงสูงกว่าประชากรชาย ประชากรหญิงออสเตรียมีอายุเฉลี่ย 82.1 ปี ส่วนประชากรชายออสเตรีย 76.4 ปี ในประเทศออสเตรียส่วนใหญ่ประชากรจะเป็นผู้สูงอายุ และเนื่องจากค่าครองชีพในประเทศออสเตรียอยู่ในอัตราสูงมาก จึงมีผลในการส่งผลให้อัตราการเกิดใหม่ของประชากรลดลงเป็นอย่างมาก ซึ่งอัตราการเกิดใหม่ของประชากรอยู่ที่ 0.45% ซึ่งถือว่าเป็นอัตราที่ต่ำมาก

 วัฒนธรรม

ศาสนา คริสต์นิกายโรมันคาทอลิกร้อยละ 73.6 คริสต์นิกายโปรเตสแตนท์ร้อยละ 4.7 มุสลิมร้อยละ 4.2 อื่นๆ ร้อย ละ 3.5 ไม่ระบุร้อยละ2 ไม่นับถือศาสนาร้อยละ 12

 ศาสนา

74.1% ของจำนวนประชากรนับถือศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก 4.6% ของจำนวนประชากรนับถือศาสนาคริสต์นิกายโปรแตสแตนท์, ประชากรจำนวนประมาณ 180,000 คน นับถือนิกายคริสต์นิกายออโธด็อกส์, ประชากรจำนวนประมาณ 8,140 คนนับถือนิกายยิว, ประชากรจำนวนระหว่าง 15,000-338,998 คนนับถือศาสนาอิสลาม (ประเทศเริ่มมีศาสนาอิสลามมาตั้งแต่ปีคริสต์ศักราช 1912) , ประชากรจำนวนมากกว่า 10,000 คนนับถือศาสนาพุทธ และประชากรจำนวน 20,000 คนเลือกที่จะไม่นับถือศาสนาใด ยึดหลักความเป็นกลาง (จากผลสำรวจในปีพุทธศักราช 2544 หรือปีคริสต์ศักราช 2001)

 ดนตรีในแต่ละยุคของออสเตรีย

ดนตรีของออสเตรียในยุคที่ศาสนาเจริญรุ่งเรือง คือ ช่วงยุคกลาง ซึ่งมีลักษณะเหมือนดนตรีในประเทศแถบยุโรป แต่หลังจากยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา เพลงที่ร้องในโบสถ์ เช่น เพลงสวดเกรกอเรียน ซึ่งได้รับอิทธิพลจากอิตาลีก็แพร่หลายเข้ามา และในศตวรรษที่ 18โอเปราที่มาจากอิตาลีก็ได้รับความนิยมในพระราชวังเป็นอย่างมาก หลังจากศตวรรษที่ 18ออสเตรียก็โด่งดังเรื่องดนตรีตลอดช่วงระยะเวลากว่า 300ปี โดยเฉพาะช่วงกลางศตวรรษที่ 18จนถึงช่วงศตวรรษที่ 19 วอลฟ์กัง อามาเดอุส โมซาร์ท (Wolfgang Amadeus Mozart : ค.ศ. 1756-1791)ฟรันซ์ โจเซฟ ไฮเดิน (franz Joseph Haydn : ค.ศ.1732-1809)ฟรันซ์ ชูแบร์ท (Franz schubert : ค.ศ.1797-1828)โยฮันน์ สเตราส์ที่1และ2 (Johann strauss 1 : ค.ศ.1804-1849,Johann strauss 2 : ค.ศ.1825-1899) ด้วยกันทั้งสิ้น ในยุคนี้ดนตรีคลาสสิกในบรรดาบทเพลง คอนเชอร์โต (Concerto) และซิมโฟนี (Symphony)ล้วนพัฒนาจากโซนาตา (Sonata)ทั้งสิ้น เมื่อเข้าสู่ศตวรรษที่ 20กล่าวว่าคีตกวีชื่อ อาโนลด์ เชินแบร์ท เป็นผู้เริ่มดนตรีแบบไม่มีบันไดเสียงไดอาโทนิกและบันไดเสียงไมเนอร์ที่เป็นทฤษฎีพื้นฐานของบทเพลงแถบตะวันตก และหลังจากที่เชินแบร์กเสียชีวิต ลูกศิษย์ของเชินแบร์กได้พัฒนาแนวคิดและนำเสนอดนตรีแบใหม่โดยต้นกำเนิดจากทฤษฎีของเชินแบร์กที่ผสมผสานเสียงดนตรีคลาสสิกกับดนตรีพื้นบ้านของออสเตรียให้เกิดเสียงไพเราะที่ทำให้รู้สึกอิสระ นุ่มนวลและอบอุ่น